ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส


การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโอซิส(MEIOSIS)
เป็นกระบวนการแบ่งนิวเคลียสเพื่อให้ได้เซลล์สืบพันธุ์ โดยแต่ละเซลล์ที่ได้มีจำนวนโครโมโซมลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม

การแบ่งเซลล์แบบไมโตซิส


การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส ( mitosis)
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์ เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ของร่างกาย ในการเจริญเติบโต ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ หรือในการแบ่งเซลล์ เพื่อการสืบพันธุ์ ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว และหลายเซลล์บางชนิด เช่น พืช
• ไม่มีการลดจำนวนชุดโครโมโซม ( 2n ไป 2n หรือ n ไป n )

• เมื่อสิ้นสุดการแบ่งเซลล์จะได้ 2 เซลล์ใหม่ที่มีโครโมโซมเท่าๆ กัน และเท่ากับเซลล์ตั้งต้น

• พบที่เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด , ปลายราก , แคมเบียม ของพืชหรือเนื้อเยื่อบุผิว , ไขกระดูกในสัตว์ , การสร้างสเปิร์ม และไข่ของพืช

• มี 5 ระยะ คือ อินเตอร์เฟส ( interphase), โพรเฟส ( prophase), เมทาเฟส (metaphase), แอนาเฟส ( anaphase) และเทโลเฟส ( telophase)

เซลล์


หน่วยของสิ่งมีชีวิต


1. เซลล์ (Cell) หมายถึง หน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต มีรูปร่างลักษณะและขนาดแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิตและหน้าที่ของเซลล์เหล่านั้นเซลล์ที่มีขนาดเล็กที่สุดคือ ไมโครพลาสมา (Mycoplasma) หรือ PPLO (Pleuropneumonia - like organism) มีขนาดประมาณ 0.1 - 0.25 mเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ เซลล์ไข่นกกระจอกเทศ

2. เซลล์ของสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไปมีโครงสร้างหลักคล้ายกัน แต่อาจมีลักษณะบางประการแตกต่างอย่างเด่นชัด นักชีววิทยาจึงจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะโครงสร้างเซลล์ คือ

สีของดิน


สีของดิน..เป็นสมบัติของดินที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าสมบัติอื่นๆ
ดินแต่ละบริเวณจะมีสีที่แตกต่างกันไป เช่น สีดำ น้ำตาล เหลือง แดง หรือ สีเทา รวมถึงจุดประสีต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของแร่ที่เป็นองค์ประกอบในดิน สภาพแวดล้อมในการเกิดดิน ระยะเวลาการพัฒนา หรือวัสดุอื่นๆ ที่มีอยู่ในดิน

ดังนั้น...จากสีของดิน เราสามารถที่จะประเมินสมบัติบางอย่างของดินที่เกี่ยวข้องได้ เช่น การระบายน้ำของดิน อินทรียวัตถุในดิน ระดับความความอุดมสมบูรณ์ของดิน....

ดินสีดำ สีน้ำตาลเข้มหรือสีคล้ำ

ส่วนใหญ่มักจะเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง เนื่องจากมีการคลุกเคล้าด้วยอินทรียวัตถุมาก โดยเฉพาะดินชั้นบน แต่บางกรณี สีคล้ำของดิน อาจจะเป็นผลมาจากอิทธิพลของปัจจัยที่ควบคุมการเกิดดินอื่นๆ นอกเหนือไปจากการมีปริมาณอินทรียวัตถุในดินมากก็ได้ เช่น ดินที่พัฒนามาจากวัตถุต้นกำเนิดดินที่ผุพังสลายตัวมาจากหินที่ประกอบด้วยแร่ที่มีสีเข้ม เช่น หินภูเขาไฟ และมีระยะเวลาการพัฒนาไม่นาน หรือดินมีแร่แมงกานีสสูง ก็จะให้ดินที่มีสีคล้ำได้เช่นกัน


ดินสีเหลืองหรือแดง

สีเหลืองหรือแดงของดินส่วนใหญ่จะเป็นสีออกไซด์ของเหล็กและอลูมิเนียม แสดงถึงการที่ดินมีพัฒนาการสูง ผ่านกระบวนการผุพังสลายตัวและซึมชะมานาน เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี แต่มักจะมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ดินสีเหลืองแสดงว่าดินมีออกไซด์ของเหล็กที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ ส่วนดินสีแดงจะเป็นดินที่ออกไซด์ของเหล็กหรืออลูมิเนียมไม่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ

ดินสีขาวหรือสีเทาอ่อน

การที่ดินมีสีอ่อน อาจจะแสดงว่าเป็นดินที่เกิดมาจากวัตถุต้นกำเนิดดินพวกที่สลายตัวมาจากหินที่มีแร่สีจาง เป็นองค์ประกอบอยู่มาก เช่น หินแกรนิต หรือหินทรายบางชนิด หรืออาจจะเป็นดินที่ผ่านกระบวนการชะล้างอย่างรุนแรง จนธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืชถูกซึมชะออกไปจนหมด หรือมีสีอ่อนเนื่องจากมีการสะสมปูน ยิปซัม หรือเกลือชนิดต่างๆ ในหน้าตัดดินมากก็ได้ ซึ่งดินเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ

ดินสีเทาหรือสีน้ำเงิน

การที่ดินมีสีเทา เทาปนน้ำเงิน หรือน้ำเงิน บ่งชี้ว่าดินอยู่ในสภาวะที่มีน้ำแช่ขังเป็นเวลานาน เช่น ดินนาในพื้นที่ลุ่ม หรือดินในพื้นที่ป่าชายเลนที่มีน้ำทะเลท่วมถึงอยู่เสมอ มีสภาพการระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศไม่ดี ทำให้เกิดสารประกอบของเหล็กพวกที่มีสีเทาหรือสีน้ำเงิน

แต่ถ้าดินอยู่ในสภาวะที่มีน้ำแช่ขังสลับกับแห้ง ดินจะมีสีจุดประ ซึ่งโดยทั่วไปมักปรากฏเป็นจุดประสีเหลืองหรือสีแดงบนพื้นสีเทา ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสารประกอบออกไซด์ของเหล็กที่สะสมอยู่ในดิน โดยสารเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในรูปที่มีสีเทาเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีน้ำแช่ขัง ขาดออกซิเจนเป็นเวลานานๆ และเปลี่ยนไปอยู่ในรูปที่ให้สารสีแดงเมื่อได้รับออกซิเจน

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปัจจัยในการเกิดดิน


ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในกระบวนการกำเนิดดินนั้น มีอยู่มากมาย แต่ที่มีความสำคัญต่อลักษณะและสมบัติต่างๆ ของดินนั้น มีอยู่ 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ภูมิอากาศ วัตถุต้นกำเนิดดิน สภาพพื้นที่ สิ่งมีชีวิต และเวลา


รูปร่างของโลก
รูปทรงสัณฐานของโลก
โลก (Earth) โลกของเรามีรูปร่างลักษณะเป็นรูปทรงรี (Oblate แต่พื้นผิวโลกที่แท้จริงมีลักษณะขรุขระ สูง ต่ำ ไม่ราบเรียบ สม่ำเสมอ พื้นผิวโลกจะมีพื้นที่ประมาณ 509,450,00 ตารางกิโลเมตรมีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ศูนย์สูตรยาว 12,757กิโลเมตรมีเส้นผ่าศูนย์กลางจากขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้ 12,714 กิโลเมตร จะเห็นว่าระยะทางระหว่างแนวนอน (เส้นสูนย์สูตร) ยาวกว่าแนวตั้ง (ขั้วโลกเหนือ -ใต้) จากลักษณะดังกล่าวนี้ ทำให้ไม่สามารถใช้รูปทรงเรขาคณิตอย่างง่ายแสดงขนาด
รูปร่างของโลกได้อย่างถูกต้องดังนั้นเพื่อความสะดวกต่อการพิจารณารูปทรงสัณฐานของโลกและในกิจการของแผนที่ จึงมีการใช้รูปทรงสัณฐานของโลกอยู่ 3 แบบ คือ ทรงกลม (Spheroid) ทรงรี (Ellipsoid) และ ยีออยด (Geoid) ทรงกลม หรือ สเฟียรอยด์ เป็นรูปทรงที่ง่ายที่สุด จึงเหมาะเป็นสัณฐานของโลกโดยประมาณ ใช้กับแผนที่มาตราส่วนเล็ก
ที่มีขอบเขตกว้างขวาง เช่น แผนที่โลก แผนที่ทวีป หรือ แผนที่อื่นๆที่ไม่ต้องการความละเอียดถูกต้องสูง ทรงรี หรือ อิลิปซอยด์ โดยทั่วไป คือ รูปที่แตกต่างกับรูปทรงกลมเพียงเล็กน้อยซึ่งจะมีลักษณะใกล้เคียง กับสัณฐานจริงโลกมากเหมาะสำหรับ ใช้เป็นพื้นผิวการรังวัดและการแผนที่ที่ต้องการความละเอียดถูกต้องสูง เช่น แผนที่ระดับชุมชนเมือง

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ความเป็นกรด-เบสของดิน


ความเป็นกรด-เบสของดิน

ความเป็นกรด-เบสของดิน หมายถึง ปริมาณของไฮโดรเจนที่มีอยู่ในดิน ความเป็นกรด-เบส กำหนดค่าเป็นตัวเลขตั้งแต่ 1-14 เรียกค่าตัวเลขนี้ว่าค่า pH โดยจัดว่า

สารละลายใดที่มีค่า pH น้อยกว่า 7 สารละลายนั้นมีสมบัติเป็นกรด

สารละลายใดที่มีค่า pH มากกว่า 7 สารละลายนั้นมีสมบัติเป็นเบส

สารละลายใดที่มีค่า pH เท่ากับ 7 สารละลายนั้นมีสมบัติเป็นกลาง


วิธีทดสอบความเป็นกรด-เบส มีวิธีทดสอบได้ดังนี้

1. ใช้กระดาษลิตมัสสีน้ำเงินหรือสีแดง โดยนำกระดาษลิตมัสทดสอบกับสารที่สงสัย ถ้าเป็นกรดจะเปลี่ยนกระดาษลิตมัสสีน้ำเงินเป็นสีแดง และถ้าเป็นเบสจะเปลี่ยนกระดาษลิตมัสสีแดงเป็นสีน้ำเงิน

2. ใช้กระดาษยูนิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์ โดยนำกระดาษยูนิเวแซลอินดิเคเตอร์ทดสอบกับสารแล้วนำไปเทียบกับแผ่นสีที่ข้างกล่อง

3. ใช้น้ำยาตรวจสอบความเป็นกรด-เบส เช่น สารละลายบรอมไทมอลบลูจะให้สีฟ้าอ่อนในสารละลายที่มี pH มากกว่า 7 และให้สีเหลืองในสารละลายที่มี pH น้อยกว่า 7

ปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้ดินเป็นกรด ได้แก่ การเน่าเปื่อยของสารอินทรีย์ในดิน การใส่ปุ๋ยเคมีบางชนิด สารที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท

ปัจจัยที่ทำให้ดินเป็นเบส ได้แก่ การใส่ปูนขาว (แคลเซียมไฮดรอกไซด์)

ความเป็นกรด-เบาของดินนั้นมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช พืชแต่ละชนิดเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีค่า pH ที่เหมาะแก่พืชนั้นๆ ถ้าสภาพ pH ไม่เหมาะสมทำให้พืชบางชนิดไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุที่ต้องการที่มีใน ดินไปใช้ประโยชน์ได้

การแก้ไขปรับปรุงดิน
ดินเป็นกรด แก้ไขได้โดยการเติมปูนขาว หรือดินมาร์ล

ดินเป็นเบสแก้ไขได้โดยการเติมแอมโมเนียมซัลเฟต หรือผงกำมะถัน

ดินมาร์ล คือ ดินที่ได้จากการสลายตัวของหินปูน ซึ่งมีแคลเซียมคาร์บอนเนตเป็นองค์ประกอบ ดินมาร์ลมีมากในจังหวัด

เนื้อดิน


เนื้อดิน (texture)

เนื้อดิน เป็นสมบัติที่บอกถึงความหยาบหรือละเอียดของชิ้นส่วนเล็กๆ ของดิน ที่เราเรียกว่า “อนุภาคของดิน” ซึ่งอนุภาคเหล่านี้จะมีขนาดไม่ท่ากัน แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ขนาดใหญ่เรียกว่าอนุภาคขนาดทราย (2.0-0.05 มิลลิเมตร) ขนาดกลางเรียกว่าอนุภาคขนาดทรายแป้ง (0.05-0.002 มิลลิเมตร) และขนาดเล็กที่สุดคืออนุภาคดินเหนียว (< 0.002 มิลลิเมตร)
การรวมตัวกันของอนุภาคขนาดทราย ทรายแป้ง และดินเหนียว ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดเป็นเนื้อดินชนิดต่างๆขึ้นมา ในการจำแนกประเภทของเนื้อดินนั้นจะถือเอาเปอร์เซ็นต์ของอนุภาคขนาดเหล่านี้ที่มีอยู่ในดินนั้นๆ เป็นหลัก โดยทั่วไปเนื้อดินอาจแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 3 กลุ่มคือ
1. ดินทราย
2. ดินร่วน
3. ดินเหนียว

ปัจจัยในการเกิดดิน


องค์ประกอบทางแร่ธาตุของเปลือกโลก
เปลือกโลกคือ ส่วนที่เป็นของแข็งอยู่ส่วนนอกสุดของโลก ประกอบไปด้วยหินอัคนีเป็นส่วนใหญ่ ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ มีหินตะกอนและหินแปรอยู่บ้างเป็นส่วนน้อย จากการวิเคราะห์ตัวอย่างหินพบว่าธาตุออกซิเจนพบมากที่สุดรองมาได้แก่ ซิลิกอน อลูมิเนียม เหล็ก คัลเซียม โซเดียม โปตัสเซียม และแมกนีเซียม ธาตุทั้งหมดรวมกันแล้วมีมากกว่า ร้อยละ 99 ของเปลือกโลก และแร่ที่พบว่ามีมากได้แก่แร่ควอร์ตซ์ ซิลิเกต และอลูมิโนซิลิเกต ดิน เป็นเทหวัตถุธรรมชาติ ที่เกิดจากการสลายตัวของหินและแร่ ดินจะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ 5 ปัจจัย (ภาพที่2.1) ด้วยกัน คือ
1. ภูมิอากาศ (climate)
2. พืช (vegetation)
3. สภาพภูมิประเทศ (topography
4. วัตถุต้นกำเนิด (parent materials)
5. ระยะเวลา (time)

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

องค์ประกอบของดิน


โดยปกติแล้วเนื้อดินจะมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลวและก๊าซ ดินที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืชจะต้องมีของแข็ง ของเหลวและก๊าซในอัตราส่วนที่สมดุลกัน และสอดคล้องกับความต้องการของพืชแต่ลละชนิดสวนประกอบที่สำคัญของดินอาจแบ่ง ได้ดังนี้
1. อนินทรียวัตถุ
อนินทรียวัตถุ(inorganic matter) ประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งแร่ธาตุนั้นนับเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของดินซึ่งมีอยุ่มากมายหลายชนิด และจะผันแปรไปตามชนิดของดิน แร่ธาตุที่ประกอบอยู่ในดินมากที่สุดคือ ออกซิเจน มีร้อยละ47 รองลงมาคือซิลิคอน มีร้อยละ 28 และอะลูมิเนียม เหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียมและแมกนีเซียมรวมกันแล้วมีประมาณร้อยละ23 สำหรับแร่ธาตุที่ีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอศฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมงกานีส โบรอน ทองแดง สังกะสี โมลิบดินัมและคอลรีนเป็นต้น
2. อินทรียวัตถุ
อินทรียวัตถุ(organic matter) ประกอบด้วยวัตถุต่างๆที่เกิดจาการเน่าเปื่อยผุพังของสิ่งมีชีวิตปะปนอยุ่ใน ดิน รวมทั้งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยหรือเจริญเติบโตอยู่ในดินด้วยซึ่งสิ่ง ต่างๆทั้งหมดนี้สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้
2.1 อินทรียวัตถุที่ยังมีชีวิต เช่นไส้เดือน แมลงและแบคทีเรียชนิดต่างๆซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะช่วยทำให้เกิดการย่อย สลายซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมอยู่เพิ่มธาตุอาหารแก่พืชและทำให้ดินร่วนซุย เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช
2.2 อินทรียวัตถุที่เน่าเปื่อยผุพังบางส่วน ส่วนที่ผุพังจะกลายเป็นขุยอิทรียในดิน ส่วนที่เหลือจะเป็นดินร่วนซุย
2.3 อินทรียวัตถุที่เน่าเปื่อยจนไม่ปรากฏโครงสร้างเดิมให้เห็น การ เน่าเปื่อยของอินทรียวัตถุจะทำให้เกิดก๊าซขึ้น ต่อมาเมื่อน้ำไหลเข้าไปผสมจะทำให้เกิดสารประกอบชนิดใหญ่ขึ้นมาและพืชสามารถ นำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต
3. น้ำในดิน
น้ำในดิน (soil water ) เป้นส่วนประกอบที่สำคัญของดิน สำหรับความชื้นที่ปรากฏในดินแต่ละชนิดจะแตกต่างกันออกไป ดินเหนียวจะอุ้มน้ำได้ดีกว่าดินทรายและดินร่วน ทั้งนี้เพราะขนาดช่องว่างในเม็ดดินแตกต่างกันน้ำที่ปรากฏอยู่ในดินจะแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด คือ
3.1 น้ำประกอบทางเคมี (chemical combined water) เป็นความชื้นที่แทรกอยุ่ในอนุภาคของเม็ดดินและสามารถทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุที่อยู่ในดินได้
3.2 น้ำเหลื่อ (free water) คือน้ำที่ซึมอยู่ระหว่างเม็ดดิน แต่ไม่อยู่ในในวิสัยที่เม็ดดินจะดูดซับเอาไว้ได้อจึงมีอิสระที่จะไหลไปตามแรงดึงดูดของโลก น้ำชนิดนี้มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืชไม่มากนัก
3.3 น้ำซับ (capillary water) เป็นน้ำที่ซึมซับอยุ่ตามผิวอนุภาคของเม็ดดินบางครั้งจะซึมอยู่เต็มช่องว่าง ของเม็ดดิน จึงทำให้สภาพทั่วไปของเนื้อดิน ชุ่มชื้นแต่ไม่ถึงกับแฉะ เป็นน้ำที่พืชสามารถนำมาใช้ในการเจริญเติบโตได้
3.4 น้ำเยื่อ (hygroscopic water) เป็นความชื้นที่อนุภาคของแข็งในเม็ดดินดูดจับเอาไว้ โดยจะมีปริมาณไม่มากนัก บางที่เรียกน้ำชนิดนี้ว่า “น้ำจับดิน” น้ำชนิดนี้เชื่อว่าน้ำชนิดนี้จะมีลักษณะครึ่งแข็งครึ่งไอ
4. อากาศในดินอากาศในดิน (soil air) เป็นอากาศที่แทรกอยู่ในชั้นดิน โดยมีลักษณะทั่วไปเหมือนกับอากาศบนดิน แต่ในดินจะมีส่วนของก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซด์สูงกว่าออกซิเจน สวนปริมาณของกีาซไนโตรเจนจะคงที่ ซึ่งก๊าซไนโตรเจนในดินจะมีคุณค่าต่อพืชก็ต่อเมื่อแบคที่เรียในดินช่วยเปลี่ยนไปเป็นไนเตรด ออกซิเจนจะเป็นก๊าซที่พืชดูดเข้าไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับคาร์บอนไดร์ออกไซด์

หน้าตัดชั้นดิน


ปัจจัยต่างๆของการกำเนิดดินทำให้ได้ดินที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างมาก ดินในภูมิประเทศหนึ่งๆ จะมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง เราเรียกภาคตัดตามแนวดิ่งของชั้นดินเรียกว่า “ หน้าตัดดิน” (Soil Horizon) ซึ่งประกอบด้วยดินที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ เรียกว่า “ ชั้นดิน” (Soil horizon)
นักปฐพีวิทยากำหนดชื่อของชั้นดินโดยใช้ลักษณะทางกายภาพ ดังนี้

· - ชั้น โอ (O-horizon)เป็นช่วงชั้นดินที่มีสารอินทรีย์หรือฮิวมัสสะสมตัวอยู่มาก มักมีสีเทาหรือเทาดำ ดินชั้นโอ ส่วนใหญ่จะพบในพื้นที่ป่าส่วนในพื้นที่การเกษตรจะไม่มีชั้นโอในหน้าตัดดิน เนื่องจากถูกไถพรวนไปหมด

· - ชั้น เอ (A-horizon) เป็นเขตการซึมชะ (Zone of Leaching) เป็นชั้นที่น้ำซึมผ่านจากชั้นบน แล้วทำปฏิกิริยากับแร่ บางชนิด เกิดการสลายตัวของแร่ ในพื้นที่เกษตรกรรมดินชั้นเอ จะถูกไถพรวน เมื่อมีการย่อยสลายของรากพืชและมีการสะสมอินทรียวัตถุ สารละลายที่ได้จะซึมผ่านลงไปสะสมตัวในชั้นต่อไปทำให้ดินชั้นนี้ มีสีจางลง

· - ชั้น บี (B-horizon) เป็นเขตการสะสมของแร่ในชั้นดิน ( Zone of Accumulation ) เป็นชั้นที่มีการตกตะกอน และสะสมตัวของแร่จากสารละลายที่ไหลลงมาจากชั้น เอ ชั้นดิน มักมีสีแดง หรือน้ำตาลแดงตามสีแร่ที่มาสะสมตัวอยู่ ส่วนมากดินชั้นนี้เป็นดินเหนียว

· - ชั้น ซี (C-horizon) เป็นชั้นหินผุ (Weathered rock) ที่หินบางส่วนผุพัง กลายเป็นดินปะปนกับเศษหิน ที่แตกหัก มาจากชั้นหินดานเดิม

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ชุดดินลำปาง


ชุดดินลำปาง
ชุดดินลำปาง (Lampang series: Lp)

กลุ่มชุดดินที่ 16
การจำแนกดิน Fine-silty, mixed, semiactive, isohyperthermic Typic (Aeric)
Endoaqualfs
การกำเนิด เกิดจากตะกอนน้ำพาบริเวณตะพักลำน้ำและที่ราบระหว่างเขา
สภาพพื้นที่ ราบเรียบถึงค่อนข้างราบเรียบ ความลาดชัน 0-2 %
การระบายน้ำ เลว
การไหลบ่าของน้ำบนผิวดิน ช้า
การซึมผ่านได้ของน้ำ ช้า
พืชพรรณธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ที่ดิน นาข้าว อาจใช้ปลูกพืชไร่เช่น ข้าวโพด ถั่ว
หรือพืชผัก ก่อนหรือหลังปลูกข้าว
การแพร่กระจาย พบมากในภาคเหนือตอนบน บริเวณตะพักลำน้ำและที่ราบระหว่างเขา
การจัดเรียงชั้นดิน Apg-Btg
ลักษณะและสมบัติดิน เป็นดินลึกมาก ดินบนเป็นดินร่วนปนทรายแป้ง ดินร่วนหรือดินร่วนเหนียวปนทรายแป้ง สีเทาปนชมพู สีน้ำตาลปนเทาถึงสีน้ำตาลอ่อน มีจุดประสีน้ำตาลแก่หรือสีน้ำตาลปนเหลือง ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดถึงเป็นกรดเล็กน้อย (pH 5.5-6.5) ดินล่างเป็นดินร่วนเหนียวปนทรายแป้งถึงดินร่วนปนดินเหนียว สีเทาปนชมพูหรือสีเทาอ่อน มีจุดประสีน้ำตาลแก่ สีน้ำตาลปนเหลือง หรือสีแดงปนเหลือง บางแห่งอาจมีศิลาแลงอ่อนและก้อนลูกรังปะปนอยู่บ้าง ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดมากถึงเป็นกรดจัด (pH 4.5-5.5)
ความลึก (ซม.) อินทรียวัตถุ ความจุแลกเปลี่ยน
แคตไอออน ความอิ่มตัวเบส ฟอสฟอรัส
ที่เป็นประโยชน์ โพแทสเซียม
ที่เป็นประโยชน์ ความอุดมสมบูรณ์
ของดิน

0-25 ต่ำ ต่ำ ปานกลาง ต่ำ ต่ำ ต่ำ
25-50 ต่ำ ต่ำ ต่ำ ต่ำ ต่ำ ต่ำ
50-100 ต่ำ ต่ำ ปานกลาง ต่ำ ต่ำ ต่ำ

ชุดดินที่คล้ายคลึงกัน ชุดดินหินกอง และชุดดินศรีเทพ
ข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีอินทรียวัตถุต่ำ และมักแน่นทึบใต้ชั้นไถพรวน
ข้อเสนอแนะในการใช้ประโยชน์ ควรไถพรวนให้ลึก ปรับปรุงดินด้วยอินทรียวัตถุและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิต ในพื้นที่ชลประทาน นอกฤดูทำนาอาจปลูกพืชไร่หรือพืชผักซึ่งจะต้องยกร่องและปรับสภาพดินให้ร่วนซุยและระบายน้ำดีขึ้น โดยการเพิ่มอินทรียวัตถุ

ดินของประเทศไทย


ดินของประเทศไทย
กรมพัฒนาที่ดินได้ทําการสํารวจดิน เพื่อจัดทำแผนที่และรายงานการสํารวจดินในระดับจังหวัด มาตราส่วน 1:50,000 และ 1:100,000 ตั้งแต่ ปี 2506 จนแล้วเสร็จทั้งประเทศ โดยมีหน่วยการจําแนกดินเป็นชุดดิน (soil series) ตามระบบ การจําแนก ดินของประเทศสหรัฐอเมริกา ฉบับปี พ. ศ. 2481 ต่อมาได้มีการปรับปรุงแก้ไขข้อกําหนดหลายครั้ง จนถึงครั้งที่ 8 ในปี พ.ศ. 2531
กองสํารวจและจําแนกดิน กรมพัฒนาที่ดินจึงทําการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดชุดดินที่ได้จัดตั้งไว้ แล้วทั่ว ประเทศ ให้สอดคล้องกับระบบการจำแนกดังกล่าว ผู้สนใจสามารถสืบค้นรายละเอียดของชุดดินจัดตั้ง เช่น ลักษณะทั่วไปของบริเวณที่พบชุดดินจัดตั้ง การจำแนกและให้ชื่อ ทางวิทยาศาสตร์ของชุดดิน สมบัติทางเคมี และฟิสิกส์ของชั้นดินแต่ละชั้น และงานค้นคว้าวิจัยของหน่วยงานในกรมพัฒนา ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุดดินที่ได้จำแนกไว้แล้วในประเทศไทย

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โครงการอนุรักษ์ดินโดยใช้หญ้าแฝก


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตระหนักถึงสภาพปัญหาการใช้ที่ดินที่ถูกกัดเซาะจากการฝนตก ลงมาชะล้างหน้าดิน ทำให้ขาดความอุดมสมบูรณ์ และบางครั้งยังเกิดปัญหาดินพังทลาย ทำให้เกิดความเสีย หายต่อพื้นที่ทำการเกษตร และต่อทรัพยากรดินและน้ำ จึงทรงมีพระราชดำรัสให้ใช้หญ้าแฝก ในการอนุรักษ์ ดินและน้ำ เนื่องจากเป็นวิธีการใช้เทคโนโลยีแบบง่าย ๆ เกษตรกรสามารถดำเนินการได้เอง ไม่ต้องดูแลรักษา หลังการปลูกมากนัก และประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าวิธีอื่น ๆ


ลักษณะทรงพุ่มของกอหญ้าแฝกภาพกอหญ้าแฝกเถื่อนกำลังแตกกอภาพการแตกกอของหญ้าแฝกขึ้นเบียดเสียดกันแน่นเป็นแนวรั้วตะกอนดิน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชดำรัสให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน นำหญ้าแฝกไปปลูกตามฐานปฏิบัติการต่าง ๆ และหมู่บ้านใกล้เคียง และขยายการปลูกไปทั่วประเทศ เนื่องจาก หญ้าแฝกมีคุณลักษณะที่เหมาะสมในการจัดระบบอนุรักษ์ดิน โดยปลูกเป็นแนวรั้วกั้นตามระดับชั้น ได้มีการ ศึกษาทดลองใช้อย่างได้ผลดีในประเทศแถบเอเชียหลายประเทศ นอกจากนี้ยังพบว่า การปลูกหญ้าแฝกยังส่งผล ให้การเพาะปลูกพืชอื่น ๆ ระหว่างแนวรั้วหญ้าแฝกนั้น ให้ผลผลิตได้มากขึ้นกว่าเดิม
กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้จัดทำแผนงานสาธิต และส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ เป้าหมาย โดยกำหนดให้มีการปลูกในพื้นที่ของตำรวจตระเวนชายแดน ในส่วนของ กองกำกับตำรวจตระเวน ชายแดนที่ 41 ตำบลขุดกระทิง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ได้กำหนดพื้นที่สาธิตและส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝก ตามแผนสาธิตและส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่เป้าหมาย ในส่วนจังหวัดชุมพร ประจำปี 2537 ไว้ดังนี้
1. กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 412 ตำบลขุนกระทิง อำเภอเมือง จำนวน 10,000 ต้น
2. กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 414 ตำบลยายไท อำเภอท่าแซะ และฐานปฏิบัตการตำรวจ
ตระเวนชายแดนที่ 4141 , 4142 , 4143 จำนวน 25,000 ต้น
ในปี พ.ศ. 2541 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 41 ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายการดำเนินงาน
โครงการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ในพื้นที่จังหวัดชุมพรเพิ่มเติม ดังนี้
1. กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 414 ตำบลยายไท อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร
ปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ราบที่มีสภาพดินเสื่อมโทรม เพื่อปรับปรุงคุณภาพดินและอนุรักษ์
ดินและน้ำ จำนวน 5,000 ต้น
ปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่บริเวณรองสระน้ำเพื่อรักษาคุณภาพแหล่งน้ำ จำนวน 28,500 ต้น
2. โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่จังหวัดชุมพร
ปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ราบ ที่มีสภาพดินเสื่อมโทรม เพื่อปรับปรุงคุณภาพดินและอนุรักษ์
ดินและน้ำ จำนวน 35,204 ต้น
ปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ลาดชัน เพื่อป้องกันการชะล้างและการพังทลายของหน้าดิน
จำนวน 19,000 ต้น
ปลูกหญ้าแฝกรอบโคนไม้ผล เพื่อรักษาความชุ่มชื่นในดินในแปลงไม้ผล
จำนวน 5,600 ต้น
ปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่รองสระน้ำเพื่อรักษาคุณภาพน้ำและแหล่งน้ำ จำนวน 17,400 ต้น

ดินเปรี้ยว


ดินเปรี้ยว
ดินเปรี้ยวจัด หมายถึง ดินที่มีสภาพความเป็นกรดสูงมาก เนื่องจากอาจจะมี กำลังมี หรือได้เคยมีกรดกำมะถันซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกิดดินชนิดนี้อยู่ในหน้าตัดของดิน และปริมาณของกรดกำมะถันที่เกิดขึ้นนั้นมีมากพอที่จะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติของดินและการเจริญเติบโตของพืชในบริเวณนั้น
การเกิดดินเปรี้ยวจัด..เป็นผลสืบเนื่องมาจากกระบวนการกำเนิดของดินซึ่งเกี่ยวข้องกับตะกอนน้ำทะเลหรือตะกอนน้ำกร่อย ทำให้เกิดการสะสมสารประกอบกำมะถันขึ้นในดิน ซึ่งเมื่อดินแห้งสารประกอบกำมะถันเหล่านี้จะแปรสภาพทำให้เกิดกรดกำมะถันขึ้นในดิน ทำให้ดินเป็นกรดสูงมากจนมีผลกระทบต่อพืชที่ปลูก โดยทั่วไปจะมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างหรือพีเอช (pH) ต่ำกว่า 4.0 และมักจะพบจุดประสีเหลืองฟางข้าวของสารจาโรไซต์ (jarosite) ในชั้นดินล่าง
แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ตามระดับความลึกของจุดประสีเหลืองฟางข้าวที่พบ ได้แก่
1. ดินเปรี้ยวจัดระดับตื้น พบจาโรไซต์ภายใน 50 ซม. จากผิวดิน
2. ดินเปรี้ยวจัดระดับลึกปานกลาง พบจาโรไซต์ภายในช่วง 50-100 ซม. จากผิวดิน
3. ดินเปรี้ยวจัดระดับลึก พบจาโรไซต์ที่ระดับความลึกมากกว่า 100 ซม.จากผิวดิน